29Oct
กาวเหลืองถือว่าสำคัญมาในงานเครื่องหนัง เช่นการยึดติดรองเท้า ติดงานไม้ ติดงานเครื่องหนังต่างๆ เป็นการยึดชิ้นงานเข้าด้วยกันก่อนจะเย็บเพื่อให้ชิ้นงานไม่ดิ้นหลุดจากกัน กาวที่ทาหนังมักจะเป็นกาวเหลืองไม่นิยมใช้กาวร้อนหรือกาวตราช้างหรือกาวลาแท็กซ์ กาวเหลืองมีคุณสมบัติที่เด่นคือติดแล้วสามารถลอกชิ้นงานออกมาแก้ใขได้ ไม่ติดแล้วติดแน่นลอกออกไม่ได้เหมือนกาวร้อน กาวเหลืองมีคุณสมบัติอีกอย่างคือเมื่อติดแล้วให้การยืดหยุนชิ้นงานที่ดีคือเป็นกาวที่ไม่แข็งเหมาะกับชิ้นงานที่อ่อนตัวได้
กาวเหลืองจะมีลักษณะเป็นยางมีสีเหลืองใส มีกลิ่นแรง มีความเหนียวและมีลักษณะเป็นเจล แห้งช้า ยึดติดชิ้นงานได้ดีโดยเฉพาะเมื่อกาวใกล้แห้ง เมื่อติดชิ้นงานพลาดหรือติดเบี้ยวก็สามารถลอกออกมาทาแล้วติดเข้าไปใหม่ได้ เหมาะสำหรับติดบนหนัง พื้นรองเท้า หรือชิ้นงานอื่นๆที่ต้องเปลี่ยนในอนาคตได้เช่น กระดาษทรายที่แปะบนไม้
ปัญหาที่ช่างหนังหรือช่างทำรองเท้าพบบ่อยคือหากาวที่ทาหนังดีๆไม่ได้ ผมเคยลองผิดลองถูกซื้อกาวมาหลายที่ พบว่าบางที่ซื้อกาวเหลืองมาแล้วดูสีเหลืองข้น แต่เมื่อทาแล้วก็ไม่สามารถยึดติดชิ้นงานได้ ยิ่งเมื่อกาวแห้งแล้วก็ไม่มีคุณสมบัติในยึดต้องทาใหม่ทาซ้ำให้กาวหนาขึ้น ต้องทาในขณะที่กาวยังเปียก เหลวอยู่ แปะชิ้นงานเลย เมื่อกาวแห้งชิ้นงานก็ยังเลื่อนได้อีกไม่ยึดติด เมื่อนำไปเย็บด้วยจักรเข็มจักรก็เจาะหนังยากขึ้นเพราะมีชั้นกาวหนาเกินไปแถมเมื่อกาวแห้งติดผิวงานหนัง ก็แห้งติดหนังเอามือถูออกก็ไม่ได้ทำให้ผิวหนังเลอะกาวไม่สวยอีก เมื่อติดมือก็ถูออกไม่ได้ล้างออกยากติดมือไปอีก 2-3 วัน
โดยทั่วไปแล้วเราใช้กาวทาชิ้นงานเพื่อรอการเย็บ หรือติดชิ้นงานที่มีความยืดหยุด เช่นใช้กาวเหลืองติดรองเท้าเมื่อร้องเท้าอ้าแต่ถ้ารองเท้าที่ใช้งานหนักๆเช่นรองเท้ากีฬา ทากาวเหลืองอย่างเดียวเอาไม่อยู่ต้องเย็บช่วยด้วย และสามารถติดชิ้นงานไม้แทนกาวลาแท็กซ์เพราะกาวลาแท็กซ์จะแห้งช้ากว่า หรือติดชิ้นงานที่มีโอกาสลอกเปลี่ยนได้
กาวเหลืองติดหนังที่มีคุณสมบัติที่ดี ต้องมีการเกาะยึดที่ดียิ่งแห้งก็ยิ่งเหนียวติดแล้วแน่นขึ้น
และกาวต้องไม่เหลวเลอะซึมไปบนหนัง เมื่อกาวเหลืองแห้งต้องยิ่งเหนียวกว่าตอนข้น ช่างหนังที่ทำงานหนังส่วนใหญ่จะรู้ว่าเมื่อใช้กาวดีๆ ทากาวเหลืองแล้วต้องรอให้กาวแห้งก่อน
เพราะเมื่อประกบชิ้นงานกาวเหลืองจะไม่เหลวจนเยิ้มออกด้านข้างชิ้นงาน วิธีการใช้ก็ทาให้มีเนื้อกาวเหลืองบนชิ้นงานแล้วรอให้กาวใกล้แห้งกาวจะยึดติดได้ดี และสามารถลอกออกได้หากแปะชิ้นงานผิด หากกาวเหลืองเลอะติดผิวหนังก็ถูหรือล้างออกได้ง่าย
ทางร้านมีกาวเหลืองที่ทางร้านหาใช้เองมาเกือบ 7 ปี มาเทแบ่งใส่กระป๋องขาย ไม่ใช่กาวที่นำเข้ามาจากประเทศจีน แต่เป็นกาวที่ผลิตในประเทศไทย เป็นกาวที่มีคุณสมบัติที่ดี สังเกตุตอนใช้ได้เลยว่าเมื่อกาวใกล้แห้งจะยิ่งยึดติดชิ้นงานได้ดี ลอกออกได้เมื่อติดชิ้นงานผิดหรือเบี้ยว และเมื่อกาวเลอะไปที่ชิ้นงานหรือมือก็สามารถถูหรือล้างน้ำออกได้โดยง่าย
วิธีการใช้: ปัดฝุ่นที่ชิ้นงานออกแล้วทากาวทิ้งไว้ 10 นาที รอให้กาวใกล้แห้งจากนั้นใช้ค้อนทุบเบาๆหรือกดชิ้นงานให้แน่นๆเพื่อให้ชิ้นงานติดดียิ่งขึ้น
ราคาขายกาวเหลือง 1 กระป๋องเต็ม 120 บาทค่าส่ง ems 40 บาท
สั่งเยอะมีส่วนลดให้ครับ
หมายเหตุ: กาวเต็มกระป๋องสามารถเทแบ่งใช้ที่ละนิดเพื่อไม่ให้กาวแห้งเสียครับ
กาวเหลืองเป็นกาวที่มีกลิ่นค่อนข้างแรงและไม่ดีต่อสุขภาพผู้ใช้จึงควรใช้ในที่ๆมีอากาศถ่ายเทสะดวก
ในท้องตลาดยังมีกาวอีกประเภทหนึ่งที่นิยมใช้ในงานหนังคือกาวเหลืองจากประเทศญี่ปุ่นยี่ห้อที่นิยมใช้เช่นบลูด็อกให้คุณสมบัติใกล้เคียงกาวเหลืองแต่การยึดติดยังไม่เท่ากาวเหลือง ต้องติดในขณะที่หมาดๆ และสามารถลอกออกเมื่อติดผิดหรือติดเบี้ยวได้ ข้อดีของกาวแบบนี้คือไม่มีกลิ่นเหม็นแรงมากกลิ่นจะเบากว่ากาวเหลือง จึงเหมาะสำหรับช่างทำหนังที่ทำบนสถานที่ปิดเช่นในห้องหรือในคอนโด และเมื่อทาแล้วไม่มีขอบดำเป็นเส้นเหมือนกาวเหลือง ถ้าช่างหนังคนไหนใช้หนังธรรมชาติแล้วต้องขัดขอบแบบไม่ลงสีกาวเหลืองญี่ปุ่นก็น่าจะหามาใช้งาน กาวเหลืองญี่ปุ่นแบบนี้จะมีราคาค่อนข้างสูงประมาณ 270-300บาท/40cc : 600บาท/300cc
27Oct
หนึ่งในปัญหาที่ช่างเย็บผ้าส่วนใหญ่มักจะเจอบ่อยๆคือ ด้ายด้านบน หรือด้านล่างเป็นถั่วงอก ซึ่งเกิดจากความตึงด้ายด้านบนและด้านล่างไม่สำพันธ์กัน อีกส่วนก็เกิดจากความหนาของเนื้อผ้าแต่ละชนิด ซึ่งก็ใช้ความตึงด้ายที่แตกต่างกัน หรือบางครั้งเย็บมาฝีเข็มก็สวยแล้วแค่เปลี่ยนด้ายบนหรือด้ายล่างสีใหม่ก็เป็นถั่วงอก ต้องมาปรับกันใหม่ การที่จะเย็บผ้าให้ตะเข็บสวย แรงตึงด้ายบนและด้ายล่างจะต้องสมดุลกัน โดยเฉพาะงานปักที่ต้องปรับความตึงด้ายให้ตึงเป็นพิเศษ
การปรับความตึงด้าย ส่วนใหญ่มักจะใช้ความชำนาญว่า จะต้องตั้งความหนืดของเส้นด้ายที่มาจากกระสวยที่อยู่ด้านล่างของหัวจักร ให้มีความหนืดเล็กน้อย คือ ไม่หนืดจนมากไป หรือ หลวมจนเกินไป ตั้งให้หนืดนิดเดียวพอ จากนั้นร้อยด้ายด้านบนหัวจักรให้ถูกต้อง ให้อยู่ในลักษณะพร้อมใช้งาน จากนั้นนำผ้ามาทดลองเย็บดู ถ้าฝีเข็มที่เย็บชิ้นงานออกมา “ด้านบน” หรือ “ด้านล่าง” ไม่สวยหรือเป็นถั่วงอก ก็ให้หมุนหรือปรับเฉพาะชุดปรับด้ายด้านบนของหัวจักร ที่ล่ะนิดปรับให้แน่นหรือปรับให้หลวมอยู่ที่ว่าเป็นถั่วงอกด้านไหน ปรับจนกว่าฝีเข็มที่ออกมาเป็นที่น่าพอใจ
ยังมีวิธีปรับความตึงด้ายแบบง่ายๆสำหรับมือใหม่ โดยการใช้เครื่องมือวัดความตึงด้าย ซึ่งมีหลายแบบ หลายราคา มีราคาตั้งแต่หลักร้อยถึงหลักพันบาทแล้วแต่ความสะดวกในการใช้งาน ส่วนใหญ่ขายอยู่ที่เว็บไซต์ Aliexpress หรือ Ebay ก็ลองเข้าไปหาดูนะครับ เมื่อใช้เครื่องปรับความตึงด้ายแล้วเราจะกำหนดการมัดของฝีเข็มได้
ถ้าเราใช้ด้ายขนาดเดียวกัน และเย็บผ้าที่มีความหนาเช่น เย็บงาน Quilts ซึ่งเป็นผ้าที่มีผ้าและใยประกบกัน 3 เลเยอร์ เมื่อแรงมัดสมดุลย์ทั้งด้านบนและด้านล่าง จุดมัดจะอยู่ตรงกลางผ้า แต่ถ้าผ้าที่เย็บเป็นผ้าบางจุดมัดอาจอยู่ด้านบนหรือด้านล่างก็ได้ ถ้าเรามีเครื่องวัดความตึงด้ายเราก็เลือกให้จุดมัดอยู่ด้านล่าง เพื่อโชว์ฝีเข็มด้านบนได้ โดยการคลายแรงตึงที่ด้านบน ให้ด้ายล่างมีแรงดึงมากกว่าด้ายด้านบน ถ้าด้ายคนล่ะขนาดกันก็สามารถปรับให้ด้ายเล็กมีแรงดึงมากกว่าเพื่อให้แรงดึงสมดุลย์ก็ได้ครับ เมื่อเย็บฝีเข็มสวยแล้วก็จดแรงดึงของด้ายล่างเก็บไว้เพื่อใช้ในครั้งต่อไป
ส่วนใหญ่ช่างจะให้ความสำคัญกับความหนืดด้ายด้านล่างมากกว่าถ้าด้ายด้านล่างมีความหนืดที่ดี เราก็จะปรับเฉพาะความหนืดด้ายด้านบนเท่านั้น ถ้าความหนืดด้านล่างไม่หนืดมากด้านบนก็ไม่ต้องปรับมากโอกาสด้ายขาดเพราะความตึงที่มากเกินไปก็น้อย เช่น พวกงาน Quilts หากเราต้องการฝีเข็มสวยๆที่ด้านบน ถ้าความหนืดด้ายด้านล่างมากเกินไปด้ายด้านบนก็ต้องให้มีความหนืดมากขึ้น ปรับกันจนสวยแต่ด้ายตึงมากเกินไป เย็บไปสักพักด้ายก็ขาดได้ครับ
เมื่อปรับความหนืดด้ายกันแล้วอย่าลืมเลือกเข็มและด้าย ให้มีขนาดที่สำพันธ์กับผ้าที่จะเย็บด้วยนะครับ ผ้าหนาก็ใช้ด้ายหนาเข็มใหญ่ ผ้าบางใช้ด้ายเล็กเข็มเล็กครับ
—-> การใช้เข็มจักรเย็บผ้า <—-
24Oct
สายนาฬิกาที่ขายอยู่ในปัจจุบัน มีทั้งสายนาฬิกาแบรนด์เนม ขึ้นห้าง และสายนาฬิกางานสำเร็จรูปจากจีน ราคาไม่แพง มีทั้งหนังแท้และหนังเทียม หนังแท้ก็เช่นหนังวัว หนังจรเข้ หนังปลากระเบน และอื่นๆ ในส่วนหนังเทียม ก็มีทั้งหนังเรียบ และหนังที่ปั้มลวดลายที่สวยงาม ขายปลีกและส่ง แหล่งที่ขายในราคาส่งก็แถวๆสำเพ็ง วรจักร เสือป่า และแถววงเวียนใหญ่
ยังมีสายนาฬิกาอีกแบบหนึ่งที่ไม่ใช่งานแมสที่ผลิตจำนวนมาก แต่เป็นงานสายนาฬิกา งานตามสั่ง เป็นงานฝีมือ handmade ใช้หนังนอกคุณภาพดี ขายในราคาแพง เหล่านี้มีขายทั่วไปตามเพจเฟสบุคราคาก็หลักหลายร้อย จนถึงหลักพันบาท ถ้าพูดถึงสายนาฬิกา handmade ที่มีราคาแพงเพราะเป็นงานฝีมือ ใช้หนังเกรดดีๆ ด้ายดีๆ ไม่ใช้จักรเย็บ แต่จะเย็บด้วยมือ
อย่างแรกเลยคือใช้เวลานาน หากเย็บด้วยจักรใช้เวลา 10 นาที งานเย็บด้วยมือ ก็จะใช้เวลา 1 ชั่วโมงเป็นต้น โดยค่อยๆบรรจง ตอกส้อมเย็บหนัง แล้วนั่งสอยด้าย ผ่านรูหนัง ที่ล่ะฝีเข็ม ในเมื่อต้องใช้เวลานานในการเย็บแล้ว ช่างหนังเลยต้องเลือก เครื่องมือดีๆ หนังแท้ดีๆ ด้ายดีๆ อุปกรณ์เหล่านี้ มีราคาแพง บวกกับการใช้เวลานาน ในการเย็บ ทำให้สายนาฬิกา ที่เย็บด้วยมือ มีราคาสูง
ถ้าช่างมีจักรดีๆ ด้ายดีๆก็ให้ฝีเข็มที่สวยงาม ไม่แพ้งานเย็บมือได้เหมือนกัน แถมงานเสร็จได้เร็วกว่า แต่ราคาจักรดีๆมีราคาค่อนข้างสูง ช่างส่วนใหญ่ จึงนิยมใช้ส้อมตอกแล้วเย็บหนังด้วยมือ แทนการใช้จักรเย็บหนัง และสามารถขายชิ้นงานในราคาคาแพงได้เพราะถือว่าเป็นงานฝีมือ ส้อมที่ช่างนิยมใช้คือ ส้อมเฉียง ที่ให้ฝีเข็มคล้ายๆกับ จักรเย็บหนัง
22Oct
ถ้าพูดถึงจักรบ้าน จักรหัวดำ จักรหิ้วพกพา ปัญหาที่พบได้บ่อยในการใช้จักรมากที่สุดก็คือ ฝีเข็มกระโดด ด้ายขาด หรือเย็บไม่ติด ปัญหานี้เกิดจากการใช้เข็มที่ไม่มีคุณภาพ เข็มที่มีคุณภาพ หายาก และมีราคาแพง ส่วนเข็มที่ขายทั่วไปจะราคาถูก 1ซอง อาจจะใช้ได้ไม่กี่เล่มหรือซื้อมา 1 ซองกลับใช้ไม่ได้เลย
หากสนใจซื้อเข็มเย็บหนังสามารถเข้าไปดูได้ที่ –> Shopee-เข็มเฉียงเย็บหนัง หรือ Shopee-เข็มเย็บงานหนา หรือติดต่อ line:wit-san
เข็มจักรที่ใช้สำหรับจักรเล็ก จักรหูหิ้ว หรือจักรหัวดำเก่า เป็นระบบเข็ม 15×1 ซึ่งเป็นระบบเข็มที่บริษัทSinger คิดค้นขึ้นมา ถูกนำมาใช้กันมาก จนกลายมาเป็นระบบสากล ที่ถูกใช้แพร่หลายในปัจจุบัน ถ้าพูดถึงจักรเก่าที่เรียกกันว่าจักรหัวดำ ระบบเข็ม 15×1 นี้ เกิดขึ้นมาโดยบริษัทจักรเก่ายี่ห้อ singer ที่สมัยก่อนมีระบบเข็มออกแบบมาใช้เองคือ 15×1 ก้นแบน ใช้สำหรับจักร Singer Model 15 ต่อมาก็กลายเป็นมาตฐานให้จักรหัวดำอื่นๆ จนกลายเป็นระบบสากล และมีเบอร์ต่างๆ ที่วัดจากขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางเป็นมาตฐาน ตั้งแต่ 9,11,14,16,18,19,21 หรือเรียกแบบ(อเมริกา/ยุโรป)คือ 65/9, 80/11, 85/13, 90/14, 100/16, 110/18, 130/21 ยิ่งเบอร์ใหญ่ตัวเข็มจะหนา และมีรูสอดด้าย หรือตาเข็มกว้าง เพื่อให้ใช้กับด้ายที่ใหญ่ขึ้น เข็มในระบบ 15×1 ในระบบสากลก็มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป ชื่อของระบบเข็ม 15×1 ได้แก่ 15×1, 2020, 130 / 705H, HAx1, HA ชื่อเหล่านี้คือชื่อของระบบเข็มชนิดเดียวกันเป็นเข็มก้นแบนหนึ่งด้าน
ในจักรเก่ายังมีเข็มอีกประเภทหนึ่งของ Singer ที่เหมือนกับเข็ม 15×1 ทุกประการแต่ระยะห่างจากตาเข็มจนปลายแหลมเข็มจะสั้น เรียกระบบเข็มนี้ว่า 24×1, 24×3 ออกแบบมาสำหรับจักร Singer เก่ารุ่น 20 24 306 319 320 และ ระบบเข็ม 206×13 สำหรับ Singer รุ่น 206 หมายความว่าใครที่มีจักรเก่า Model 40k,20,24,24k,50D,206 ต้องใช้ระบบเข็ม 24×3 ถ้าเป็น Model 206,306,319,320 ต้องใช้ระบบเข็ม 206×13 จักรเก่าเหล่านี้ต้องใช้เข็มเฉพาะห้ามเอาเข็มระบบ 15×1 มาใช้ เพราะมันจะแทงลงไปทิ่มชิ้นส่วนด้านล่างของกลไกจักรได้
Shank คือ ส่วนก้นเข็ม ที่ไว้สอดเข้าเสาเข็ม ซึ่งระบบเข็ม 15×1 จะมีก้นแบน 1 ด้าน
Shaft คือ ส่วนก้านเข็มที่ถัดมาจากส่วนก้นเข็ม
Groove คือ ร่องเข็มคือรอยเซาะร่องเข็มเซาะยาวไปถึงตาเข็ม
Scarf คือ ส่วนเว้าของก้านเข็มก่อนถึงตาเข็มเพื่อให้เข็มกระสวยด้านล่างสอดเข็มเอาด้ายล่างเข้ามามัดได้ส่วนนี้จะอยู่ด้านเดียวกับด้านแบนที่ก้นเข็ม
Eye คือ รูที่สอดด้ายผ่านเข็ม ถ้าเข็มที่ดีมีมาตฐานรูจะกว้างได้มาตฐานและรูเข็มจะไม่คมบาด้ายทำให้ด้ายขาดบ่อย
Point คือ จุดปลายเข็ม ปลายเข็มนี้ออกแบบมา หลายแบบ ปลายเข็มกลมมนสำหรับเจาะผ้าปลายแหลมพิเศษบางเจาะผ้าหนา ปลายแหลมเหมือนปลายหอกเจาะหนัง ปลายเข็มเฉียงสำหรับฝีเข็มเฉียง หรืออื่นๆ
17Oct
เรื่องของชนิดหนังแท้สำหรับทำกระเป๋าหนัง ผู้ที่จะหาซื้อกระเป๋าหนังอาจจะต้องศึกษาไว้ ไม่เฉพาะแต่ช่างทำกระเป๋าที่ควรศึกษา แต่ถ้าผู้ซื้อมีความเข้าใจก็จะช่วยให้ดูกระเป๋าที่ขายในท้องตลาดได้ง่ายขึ้น รู้ว่ากระเป๋าที่จะซื้อทำมาจากหนังประเภทไหนบ้าง ฟอกแบบไหน บทความนี้จะมาเล่าเฉพาะหนังแท้ที่ขายในท้องตลาดนะครับ ส่วนที่ว่าเป็นกระเป๋าหนังแท้หรือหนังเทียมสามารถไปอ่านได้ที่บทความ => หนังแท้ดูยังไง <= ได้ที่ด้านบรรทัดถัดไปได้เลยครับ
พูดถึงเรื่องหนัง ขอตัดเข้ามาสมัยที่มนุมนุษย์รู้วิธี ทำให้หนังทนทานมากขึ้น ผ่านการรมควัน การตากแดด ทาด้วยไขมันสัตว์ และสุดท้ายมาพบกับวิธีที่ดีที่สุดเรียกว่า ‘การฟอกหนัง Tanning’ เป็นการนำหนังสัตว์มาแปรสภาพหนังกันเลยนะครับ
การฟอกหนังคือกระบวนการทำให้กระเป๋าหนังคงทน มีผิวที่สวยงาม การฟอกหนังมักนิยมใช้วิธีการฟอกดังนี้คือ 1.การฟอกหนังด้วยโครเมี่ยม (Chrome Tanned) และ 2. การฟอกหนังด้วยสารฝาด (Vegetable Tanned) เมื่อฟอกด้วยสองวิธีดังกล่าวแล้วการแต่งหน้าผิวก็สำคัญเป็นเอกลักษณ์ของแต่ล่ะโรงงานซึ่งอาจจะใช้เครื่องจักรปั้มผิวหรือใช้การขัดด้วยมือก้ได้ ซึ่งผิวที่ออกมาจะมีลวดลายเอกลักษณ์เฉพาะตามแต่ลูกค้าจะชอบแบบไหน เรามาดูวิธีการฟอกหนังทั้งสองแบบกันนะครับ
การฟอกหนังด้วยสารฝาด (การฟอกฝาด) ซึ่งลักษณะของหนังที่ได้จะมีความแตกต่างกันอย่างมากหนังที่ฟอกด้วยสารฝาดจะ มีความแข็ง เหมาะสมกับการผลิตกระเป๋าทรง เข็มขัด พื้นรองเท้า อานม้า และปัจจุบันนี้การฟอกฟาดได้มีการเล็งเห็นความสำคัญถึงความปลอดภัยของมนุษย์ จึงได้มีการพัฒนากรรมวิธีการฟอกแบบใหม่ ที่เรียกว่า Wet white ซึ่งเป็นการฟอกด้วยสารปราศจากโครเมี่ยมด้วยสารทดแทนชนิดอื่นๆเช่น Gluta-aldehyde ซึ่งเป็น Aldehyde ที่มีความปลอดภัยต่อมนุษย์ หรือ โลหะหนักน้อยกว่า เช่น อลูมิเนียม หรือการฟอกด้วยสารธรรมชาติ ทั้งสองแบบนี้มีความปลอดภัยต่อผู้ใช้ อีกทั้งยังให้คุณสมบัติใกล้เคียงกับหนังที่ผลิตโดยการฟอกด้วยโครเมี่ยม โดยวิธีการนี้ยังไม่เป็นที่แพร่หลายนักอีกทั้งต้นทุนการผลิตยังสูงมากและใช้เวลานาน มีเฉพาะบางโรงงานถ้าโรงงานไหนมีการฟอกด้วยวิธีธรรมชาติอาจจะมีใบสมาคมต่างๆแนบไว้ให้ตรวจสอบด้วย
ส่วนหนังที่ฟอกจากโครเมี่ยม (การฟอกโครม) จะมีลักษณะนิ่ม มีความคงทนมากกว่า และมีความสามารถทนต่อแสงและความร้อนได้มากกว่า เหมาะสมกับการผลิตกระเป๋า รองเท้า เสื้อ เบาะหุ้มรถยนต์ เฟอร์นิเจอร์ หนังในบ้านเราส่วนมากมักนิยมฟอกด้วยการฟอกโครม การฟอกประเภทนี้เป็นที่นิยม เนื่องจากเป็นที่ต้องการของตลาด ใช้เวลาสั้น สารเคมีราคาถูก หนังที่ฟอกแล้วทนต่อความร้อนและความชื้นได้ดีกว่า การฟอกโครมเป็นการฟอกที่ทำในถังหมุน ซึ่งจะใส่สารเคมีจำพวกโครม (Chrome) ลงไป ขัดขอบไม่ได้เหมือนหนังฟอกฟาด แต่จะได้หนังที่มีสีสรรสวยกว่าหนังฟอกฟาด
ความแตกต่างระหว่างการฟอกฟาดและการฟอกโครมคือ ฟอกฟาดในปัจจุบันคือใช้ธรรมชาติในการฟอก ส่วน การฟอกโครมคือใช้เคมีในการฟอกเป็นหลัก ทำให้หนังมีความสวยคงที่ตามที่โรงงานฟอก ไม่ว่าใช้ไปนานเท่าไหร่กระเป๋าก็จะสวยเหมือนเดิมไม่เก่าจึงเป็นที่นิยมมากในปัจุบัน ส่วนการฟอกฟาดจะใช้ธรรมชาติฟอกยิ่งใช้ก็ยิ่งสวยสีจะเข้มสวย และข้อเสียการฟอกโครมอีกอย่างคือขัดขอบไม่ได้ต้องทาสีหรือเย็บริม แต่การฟอกด้วยสารฟอกฟาดสามารถขัดขอบให้ขึ้นเงาได้
ปกติวัวตามฟาร์มต่างๆจะเลี้ยงเพื่อเอาเนื้อส่วนหนังเป้นผลพลอยได้ทำให้ฟาร์มส่วนใหญ่จะปล่อยวัวเลี้ยงวัวตามทุ่ง ไม่สนใจว่าหนังวัวจะเป็นอย่างไร เมื่อได้เนื้อแล้วก้จะนำหนังส่งโรงฟอก หนังที่จะเอาไปฟอกทางโรงงานจะคัดเกรดของหนังก่อนการฟอกคือเลือกที่มีตำหนิน้อยๆหนังเกรดเอและบีต่างกันยังไง หนังจะถูกแบ่งตามคุณภาพหนัง ต่างกันที่ความสวยของหนัง โดยเมืองไทยเป็นเมืองร้อนมีแมลงเยอะ หนังไทยถูกเลี้ยงตามทุ่งก็มีร่องรอย เพราะเมื่อวัวคันวัวก็จะเอาตัวไปถูต้นไม้ ทำให้เกิดแผลบนหนัง ทำให้หนังมีรอยเยอะมีส่วนที่ใช้ได้น้อย หนังที่ผิวสวยร่องรอยน้อยก็จะเป็นหนังเกรดเอ ใช้ได้เยอะ99%ของตัววัวได้ทุกมุมไม่ต้องหลบเยอะ ทำให้หนังเกรดดีๆต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศ